สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเปลี่ยนสีรถยนต์ให้มีสีสันที่ตรงใจ หรือทำให้เข้ากับความชอบของตัวคุณเองมากขึ้น เราขอแนะนำให้คุณใช้บริการกับร้านทำสีรถ ที่จะช่วยผสมสีรถยนต์ให้คุณเช็กก่อนที่จะลงมือพ่นจริง ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำความรู้ดี ๆ ที่เกี่ยวกับ 2 รูปแบบของการ ผสมสีพ่นรถยนต์ ให้คุณได้ทำความเข้าใจในเบื้องต้นกันก่อน
ผสมสีพ่นรถยนต์ ระบบ K1 และระบบ K2
ระบบ 2 ระบบนี้คือ ระบบ ผสมสีพ่นรถยนต์ ที่ได้รับความนิยมตีคู่กันมา ส่วนใหญ่แล้ว K1 จะเป็นระบบที่ได้รับความนิยมในยุคอดีต แต่ในปัจจุบันนี้ระบบ K2 กำลังมาแรง ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านไหนบ้าง เข้ามาทำความรู้จักกันเลย
ระบบ ผสมสีพ่นรถยนต์ 1K VS 2K ความแตกต่างหลัก
สำหรับสี 2K ที่ใช้ในการ ผสมสีพ่นรถยนต์ ต้องใช้สารเพิ่มความแข็งแยกต่างหาก (บางครั้งเรียกว่าสารกระตุ้น) ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ 1K ไม่ต้องใช้ และโดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์ 2K นั้นถือว่ามีผิวเคลือบที่แกร่งกว่าและทนทานกว่านั่นเอง โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้…
- 2K พ่นยากกว่า
- 1K ใช้เวลาแห้งเร็วกว่า
- 1K ใช้งานในการพ่นง่ายกว่า
1K กับ 2K กับการใช้งาน
- สี 1K ส่วนใหญ่ เป็นสีที่พร้อมใช้งาน
- สี 2K ต้องมีการเปิดใช้งาน ด้วยสารเพิ่มความแข็งแยกต่างหาก
- สี 2K อาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้นผู้พ่นต้องเป็นมืออาชีพเท่านั้น ขณะที่พ่นควรสวมเครื่องป้องกันการหายใจ ถุงมือ และแว่นตาทุกครั้งเมื่อพ่น 2K
- สี 1K จะใช้เวลาแห้งเร็วกว่า สามารถทำให้แห้งด้วยอากาศ
- สี 2K ต้องใช้ปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อให้สีแข็งตัว
ความทนทานระหว่างสี 1K กับ 2K
- สี 1K เหมาะกับการใช้งานภายใน พื้นที่สัญจรน้อย และตำแหน่งที่ไม่ง่ายต่อการสึกหรอทั่วไป
- สี 2K เหมาะกับการใช้งานภายนอก พื้นที่ใช้งานหนัก พื้นผิวที่มีอุณหภูมิสูง และต้องเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
ดังนั้น ระบบ ผสมสีพ่นรถยนต์ ในปัจจุบันจึงมักนิยมใช้ระบบ 2K มากกว่านั่นเอง เพราะว่าถึงแม้จะมีขั้นตอนการทำงานที่ละเอียดกว่าเพิ่มเติมเข้ามา แต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็คุ้มค่ากับเวลาและกระบวนการยุ่งยากที่เสียไปมาก ทำให้ได้สีที่ต้องการออกมาเป๊ะแบบ 100 เปอร์เซ็นต์สามารถทำได้ทุกเท็กเจอร์ของสี ไม่ว่าจะเป็นสีด้าน สีมันวาว สีไข่มุก สีกากเพชร สีสะท้อนแสงและอื่น ๆ ด้วยความที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และไม่ต้องดูแลมาก จึงทำให้ตอบโจทย์กับการใช้รถของหลาย ๆ คนมากเลยทีเดียว